ดิฉันชื่อ ผดาทิพย์ ตู้ศิริ อายุ ๔๒ ปี ป่วยเป็นโรคเลือดโลหิตจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ตั้งแต่อายุ ๒ ปี ซึ่งเป็นโรคซีดชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงผิดปกติ แตกง่าย ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มีอาการซีด ตับโต ม้ามโต ใบหน้าจะเปลี่ยน จมูกแบน กะโหลกศรีษะหนา โหนกแก้มสูง คางและกระดูก ขากรรไกรกว้างใหญ่ ฟันแบนยื่น ตาเหลือง กระดูกเปราะหักง่าย ผิวหนังดำคล้ำ ร่างกายเติบโตช้ากว่าคนปกติ
โรคธาลัสซีเมีย แบ่งได้หลายชนิด บางชนิดรุนแรงมากทำให้เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ บางชนิดทำให้ผู้ป่วยซีดมาก ต้องได้รับเลือดเป็นประจำ
ชนิดของโรคและความรุนแรง
๑. แอลฟ่าธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยมักเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์
๒. เบต้าธาลัสซีเมีย แบ่งเป็น ๒ ประเภท
– เบต้าธาลัสซีเมียเมเจอร์ เป็นโรคที่มีความรุนแรงมาก ผู้ป่วยจะซีดมากตับม้ามโต ต้องให้เลือดบ่อย และฉีดยาขับธาตุเหล็กทุกวัน
– เบต้าธาลัสซีเมียฮีโมโกบิลอี เป็นโรคที่มีความรุนแรงปานกลาง ผู้ป่วยซีด
ตับม้ามโต บางรายอาจต้องให้เลือดบ่อย
๓. แอลฟ่าผสมเบต้า ผู้ป่วยจะมีอาการซีดปานกลาง ตับม้ามไม่โต ตาไม่เหลืองมาก
เม็ดเลือดแดงของคนปกติจะมีลักษณะเป็นรูปกลมแบนๆ เหมือนขนมโดนัท แต่ไม่มีรูตรงกลาง สำหรับคนที่เป็นโรคนี้เม็ดเลือดแดงจะมีรูปร่างผิดปกติ และแตกง่ายจึงจำเป็นต้องให้เลือดบ่อย เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะเหล็กเกิน และม้ามทำงานหนักจึงทำให้ม้ามโตมากและมีโอกาสเป็นพิษ กล่าวคือ ม้ามมีหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย คือดูดเลือดเข้าไป ซึ่งมีทั้งเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่มีอยู่ในเลือดแล้วปล่อยเลือดที่ดีกลับมาเลี้ยงร่างกาย แต่ถ้าม้ามเป็นพิษก็จะไม่คืนเลือดกลับมาเลย คือจะทำลายเม็ดเลือดแดงไปด้วย เมื่อม้ามโตมากจะมีอาการปวดท้อง และอึดอัดแน่นท้อง มีอาการอ่อนเพลียเพราะทานอาหารไม่ได้ เนื่องจากม้ามใหญ่มากจะไปเบียดการทำงานของกะเพาะ ต้องรักษาโดยการผ่าตัดม้ามทิ้ง
ดิฉันได้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเด็กตั้งแต่ทราบว่าเป็นโรคเลือด ต้องไปโรงพยาบาลทุกเดือน ทานยาและเจาะเลือดตลอด เมื่อมีอายุมากขึ้นจึงต้องเปลี่ยนมารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ต้องพบแพทย์และเจาะเลือดทุกเดือน ทานยาตลอด ให้เลือดเป็นบางครั้ง จนกระทั่งปี 2541 คุณหมอแนะนำให้ตัดม้าม (เพราะมีอาการม้ามโตมาก ประมาณ 1.3 กิโลกรัม) เมื่อตัดม้ามทิ้งก็จะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น คือ มีธาตุเหล็กเกินเนื่องจากต้องให้เลือดบ่อยขึ้น มีอาการเวียนศรีษะ อ่อนเพลีย อาเจียน ร่างกายไม่มีแรง เหนื่อยง่าย ทำงานประจำวันไม่ได้เลยมีอาการเวียนศรีษะตลอด แล้วต้องทำการขับธาตุเหล็กทุกวัน จนมีพนังานที่ธนาคารไทยพาณิชย์แนะนำให้รู้จัก ดร.พรศรี ชุณหะวัณ ให้การรักษาทางพลังจักรวาล ได้เริ่มรักษาตั้งแต่ปี 2547 โดยต้องมารักษากับอาจารย์ที่ กฟผ. เริ่มแรกต้องมาโดยรถแท็กซี่และมีคนช่วยพยุงมา 3 คน ต้องมาทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน ต่อมาต้องมาวันเว้นวัน อาทิตย์ละ 2 วัน จากนั้น ที่ต้องฉีดยาขับธาตุเหล็กทุกวัน ก็ลดลงเหลือสัปดาห์ละ 4 วัน และมีร่างกายแข็งแรงขึ้น จากที่ต้องมีคนมาด้วยหลายคน ก็เหลือน้อยลง และต่อมาก็สามารถนั่งรถมาคนเดียวได้ จนเหลือต้องมาเพียงอาทิตย์ละ 1 วัน เท่านั้น สามารถที่จะนั่งรถประจำทางมาเองคนเดียวได้ จำนวนธาตุเหล็กก็ลดลงจากประมาณ 2,000 นาโนกรัม /มล. ซึ่งคนที่มีร่างกายปกติ จะมีธาตุเหล็กประมาณ 150 นาโนกรัม/มล. ปัจจุบันนี้ เหลือประมาณ 300 นาโนกรัม /มล. ซึ่งปัจจุบัน เว้นไม่ได้ฉีดยาขับธาตุเหล็กมาเป็นเวลา 1 ปี แล้ว
ดิฉันมีบุญมากที่ได้รับพลังจากท่านอาจารย์ใหญ่ เลือง มินห์ ด๋าง ในปี 2549 และเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2552 ก็ยังได้รับความเมตตาจากอาจารย์ใหญ่อีกท่าน คือ มาดามเทเรซ่า ผู้เป็นภรรยาของท่าน ได้ให้พลังและแนะนำให้เรียนวิชาพลังจักรวาลเพิ่ม ซึ่งปัจจุบัน ดิฉัน ได้เรียนถึงระดับ 5.1 และเดี๋ยวนี้ ยังได้รับการรักษาอยู่อย่างต่อเนื่อง และได้เข้าร่วมประชุมกับทางชมรมศิษย์พลังจักรวาล ที่สวนอาหารชวนชมทุกเดือน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนสังคม ดิฉันจะพยายามศึกษา วิชานี้เพื่อจะได้มีโอกาส ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันบ้าง
ดร.พรศรี ชุณหวัน
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!