ฉันได้มีโอกาสรับรู้เรื่อง พลังจักรวาลครั้งแรก เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๘ โดยมีผู้ที่เลื่อมใสวิชานี้
ได้นำมาเผยแพร่ในจังหวัดเชียงใหม่ และก็ได้พยายามรวบรวมผู้ที่สนใจ ได้ประมาณ ๑๐๐ คน
เชิญอาจารย์ ทิวา ดูมเมอร์ ผู้เป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด อาจารย์ใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า
อาจารย์ เลือง มินท์ ด๋าง ดาสิรา นาราดา ชาวเวียตนาม มาเป็นผู้ถ่ายทอด
หลังจากที่ได้รับการเปิดจักระทั้ง ๖ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งใช้เวลา ๖ คืน
จาก ๑ ทุ่ม ถึง สามทุ่ม ถือว่า พวกเราเรียนจบในระดับที่ ๒ จักระเปิด ๖๐ เปอร์เซ็นต์
วันสุดท้าย สิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คือเราตกลงกันว่า เราควรจะรวมตัวกัน เพื่อพบปะหารือกันบ้าง
เนื่องจากวิชาที่เราเรียนกันนี้ เป็นเรื่องใหม่ที่เรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้าเราไม่เกาะกลุ่มกันให้ดี
เราอาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้ จึงตกลงรวมตัวกันตั้งเป็นชมรมพลังจักรวาลเชียงใหม่
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยมีคณะกรรมการ ซึ่งคัดเลือกจากพวกเราทั้งหมดที่เรียนมาด้วยกัน ๖ คืน
เราโชคดี ที่ผู้ที่มาเรียนคราวนี้ เป็นผู้อาวุโสทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ มีผู้ที่เราจะลืมเสียมิได้
คือ พลตำรวจโท อังกูร ทัตตานนท์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีตำรวจ เป็นข้าราชการบำนาญ มาใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่
ท่านเป็นผู้ที่มีศรัทธามาก ปวารณาตัวเองเพื่อชมรม ฯ ของเรา และวิชานี้ และได้อุทิศตัวเองให้กับวิชานี้
โดยมาช่วยรักษาคนไข้ที่วัดเจดีย์หลวงร่วมกับพวกเราอีกหลายคน เป็นเวลานานหลายเดือน
จนกระทั่ง พวกเราพากันไปอบรมต่อในระดับ ๓-๔ ตัวฉันเอง ได้รับเลือกเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์
ซึ่งฉันคิดว่า ไม่ถูกกับบุคลิกของฉันเลย ฉันไม่อยากที่จะทำหน้าที่นี้ พอเอ่ยขอตัว
ท่านพลตำรวจตรี วัฒนา ซึ่งเป็นคนชักชวนฉันมาบอกว่า
“ พี่ไม่ต้องห่วง เขาตั้งให้พี่เป็นจะเว็ตเท่านั้น ทุกเรื่องเด็กผู้ช่วยเขาจะเป็นคนทำงาน ”
เขาคงหมายความว่า ฉันเป็นคนแก่ควรจะได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้า ส่วนการทำงานเป็นเรื่องของเด็กผู้ช่วย
( แต่ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่า ๖ ปี ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าผู้ช่วยของฉันเลย )
ฉันไม่ทราบหรอกว่า หน้าที่ประชาสัมพันธ์จริง ๆ แล้วคืออะไร แต่ฉันก็คือ “ ฉัน “
เมื่อตกเข้ามาอยู่ท่ามกลางวิชานี้ ก็อดที่จะเข้าไปวุ่นวายไม่ได้ และได้ไปร่วมประชุมตามที่เราตกลงกันว่า
พบกันเดือนละ ๑ ครั้ง ที่ห้องอาหาร “ ครัวแจ่งหัวลิน “ ทุกวันเสาร์ต้นเดือน โดยสมาชิกมาร่วมสังสรรค์ พบปะพูดคุย
มีการหารือเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ของพวกเรา ที่เรากลัวมาก
คือเรื่อง พลังแฝง ซึ่งหากเราไปรักษาคนไข้ที่มีพลังแฝงอยู่ พลังของเรายังน้อยไม่สามารถต่อสู้เอา
พลังแฝงนั้นออกไปจากผู้ป่วย มิหนำซ้ำ พลังแฝงนั้นอาจจะกลับมาทำร้ายเราอีกด้วย
ผู้ที่จะช่วยเอาพลังแฝงออกได้ ก็มีเพียงอาจารย์คนเดียว เพราะฉะนั้น เราจะต้องระวังตัว
หากสัมผัสใครแล้วรู้สึกแปลก เหมือนมีอะไรปะทะเราอยู่ ต้องรีบชักมือออกทันที
แล้วลนลานไปล้างมือ นั่งสมาธิ เพื่อกำจัดสิ่งนั้นออกไป นับเป็นเรื่องที่ต้องเล่าสู่กันฟังทุกครั้ง
และบางทีเราก็จับได้ว่า เป็นความหวาดระแวงของคนนั้นเอง ซึ่งกลัวเรื่องพลังแฝง (เขานึกไปถึงคำว่า “ ผี ” )
เดือนที่สองหลังจากเราได้พบปะกัน เป็นวันเสาร์ต้นเดือนเมษายน ๒๕๓๘ เราพบกันเช่นเคย
ที่ครัว “ แจ่งหัวลิน ” คราวนี้มีเรื่องแปลกออกไปอีก คือสมาชิกเราท่านหนึ่ง ชื่อ คุณ ฉัตถม์ ณ เชียงใหม่
ท่านก็ไปเรียนพร้อมกับภรรยา เนื่องจากท่านป่วยเป็นโรคหัวใจ ส่วนภรรยา มีก้อนเนื้อที่เต้านม
เมื่อตอนเรียน อาจารย์ก็ใช้เวลาก่อนและหลังการเปิดจักระ ร่วมกับคณะที่มาจากกรุงเทพ ฯ
ช่วยกันรักษาพวกเรา ทุก ๆ วัน จนเปิดจักระเรียบร้อยทุกคน ใช้เวลา ๖ คืน ช่วงนั้น
ก็มีคนป่วยพากันมารักษามากมาย มีอยู่รายหนึ่ง เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ นั่งมาในรถเข็น ซึ่งภรรยาก็มาเรียนด้วย หลังจากที่รักษาได้ ๖ ครั้ง
ภรรยาก็บอกข่าวดีกับพวกเราว่า สามีเธอ จากที่ทำอะไรไม่ได้เลยนั้น ตอนนี้ขยับตัวได้และพูดได้แล้ว
ซ้ำยังจำบทสวดมนต์ได้ด้วย พวกเราตื่นเต้นกันมาก ต่างปรบมือแสดงความยินดีกับเขา
และชื่นชมในตัวอาจารย์ พอหลังจากที่เราเรียนจบแล้ว คุณ ฉัตถม์ท่านได้รับช่วง
การรักษาโรคให้กับบุคคลต่าง ๆ ที่พากันมาให้อาจารย์รักษา เพื่อให้เป็นการต่อเนื่อง
วิธีการของคุณ ฉัตถม์ ท่านทำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหลักฐานการปฏิบัติอย่างพร้อมมูล
ตั้งแต่ประวัติคนไข้ มีรายละเอียดการรักษา จักระอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
มีพร้อมทั้งรูปถ่ายเป็นหลักฐาน ท่านนำเอามาให้พวกเราดู เป็นเล่ม พวกเราตื่นเต้น และปรบมือกันอย่างกึกก้อง
เพราะนับว่าเป็นความสามารถและกล้าหาญอย่างยิ่ง ในวันนั้น เราพูดคุยกันมาก
ถึงเรื่องที่เราควรจะร่วมกันทำงานช่วยเหลือคนป่วยแบบของคุณ ฉัตถม์บ้าง แต่เราจะทำกันที่จุดไหนดี
ถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ สรุปว่า จะขอเข้าไปเปิดทำการรักษาโรคที่วัดเจดีย์หลวง
เนื่องจากวัดนี้อยู่ใจกลางเมือง และอีกประการหนึ่ง พวกเราต่างเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าอาวาส
หลวงพ่อ พระธรรมดิลก ซึ่งเราทราบว่า ท่านเป็นพระที่ทันสมัยมาก พัฒนาในทุกรูปแบบ ไม่ยึดติดกับของเก่า ๆ
ฉันมีหน้าที่เข้าไปเจรจากับหลวงพ่อ จะขอใช้ศาลาวัดที่ว่างอยู่ทำการรักษาโรค ด้วยวิชาพลังจักรวาล
ซึ่งเมื่อท่านทราบเรื่องราวละเอียดแล้ว ท่านก็อนุญาต แถมยังบอกให้เข้าไปทำการกันที่ในพระวิหาร
ซึ่งนับเป็นความใจกว้างอย่างยิ่งของท่าน ซึ่งฉันก็ออกปากรับคำท่านว่า ตัวของฉันได้เข้าไปอยู่ในใจกลางของวิชานี้
และฉันจะลืมตาทั้งสองข้างอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ต้อง
ลำบากหลวงพ่อเอ่ยปากขับไล่เลย ตัวฉันเองจะเป็นผู้ดำเนินการเลิกเอง
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๘ พวกเรา ๔-๕ คน ก็พากันมานั่งอยู่ตรงมุมซ้าย
ด้านหน้าของพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง มีอุปกรณ์คือโต๊ะ เก้าอี้ หนึ่งชุด เก้าอี้สำหรับนั่งรักษา ๓-๔ ตัว
ด้านหน้าโต๊ะ มีป้ายพลาสติค เขียนว่า
รับปรึกษาโรคด้วยวิชาพลังไฟฟ้าสากล ฟรี
ระหว่างเวลา ๘.๐๐ น.- ๑๒.๐๐ น. ทุกวัน
ในระยะแรก ต่างคนต่างก็ช่วยกันหาคนไข้กันจ้าละหวั่น เพราะทุกวัน คนไปช่วยทำหน้าที่รักษา
จะมีจำนวนมากกว่าคนไข้ บางทีเราก็ไปเกลี้ยกล่อมพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดมาทดลองให้เรารักษา
ปรากฏว่า ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งจบระดับ ๒ แต่ก็มีคนไข้ที่เราช่วยกันรักษา คือถ้ามาพบใครก่อนก็ให้คนนั้นทำการรักษา
โดยที่เรามีแผ่นบันทึกโรคและจักระที่คนแรกทำการสัมภาษณ์ วินิจฉัยโรค และ
ตัดสินใจรักษาด้วยการใช้จักระต่าง ๆ ซึ่งบางครั้ง เราก็ต้องเอามาถกเถียงกันอีก
หลังจากรักษาไปแล้วระยะหนึ่ง มีการสัมภาษณ์เพิ่มเติม คนไข้ก็ทยอยบอกโรค
มากขึ้นวันละโรค สองโรค จนบางครั้ง เราแทบจะโกรธกันเอง เนื่องจากฟังมาคนละเรื่อง
กว่าจะเข้าใจกันในที่สุด
คนไข้ที่มารักษาแล้วได้ผล กลับไปบอกต่อ ทำให้มีคนไข้เพิ่มขึ้นทุกวัน
เรียกว่ากิจการของเราดำเนินไปด้วยดี วันไหนคนไข้มาบอกว่า เขาหายแล้วจากโรคที่คุกคามเขาอยู่มานานวัน
พวกเราดีใจยิ่งกว่าตัวคนไข้เองเสียอีก คุยกันไม่รู้จบ แต่เนื่องจาก เป็นผลงานรวม
ก็เลยสบายใจกันทั่วหน้า ไม่ใช่ว่า คนไข้ของคนนั้นหายจากโรค แต่คนไข้ของคนนี้ไม่หาย
ซึ่งจะทำให้เกิดใจฝ่อ และไม่มั่นใจตัวเองอีกต่อไป วิธีการเช่นที่เราทำกันนี้ก่อให้เกิด –
ความสามัคคี ไม่แบ่งชั้น ระดับสูง ระดับต่ำ ทุกคนพร้อมเสมอที่จะช่วยคนป่วย
ทั้งคนที่เรียนมามากกว่า ก็ไม่กล้าดูถูกคนเรียนต่ำกว่าตัว เพราะขืนทำอย่างนั้น ก็จะไม่มีใครช่วย
ที่นี่เราช่วยกันคนละไม้คนละมือ แต่สม่ำเสมอ เราถึงอยู่กันมาได้ตลอด ไม่ล่มสลายตัว
พวกเราหาประสบการณ์ด้วยการรักษาโรคอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จนกระทั่งมีข่าวว่า
อาจารย์ ทิวา จะพาพวกเราไปเรียนต่อในระดับ ๓-๔ ซึ่งมีข่าวว่า อาจารย์ใหญ่จะมาเปิดสอนที่ เมืองลูเซิร์น
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ชักชวนให้พวกเราไปเรียน เราหันหน้าเข้ามาปรึกษากัน ถึงความเป็นไปได้
บางกระแสก็บอกว่า พวกเราจะถูกหลอก เพราะค่าเรียนก็สูงมาก ถ้าจำไม่ผิดก็ตกอยู่ หมื่นกว่าบาท
เพราะเขาคิดเป็น ฟรังสวิส ๖๐๐ ฟรังส์ ไหนจะค่าเดินทางอีก แต่ก็นั่นแหละ
เราเริ่มได้สัมผัสกับพลังที่ทำให้คนไข้หายจากโรคหลาย ๆ โรค จึงทำให้เราตัดสินใจสมัครไปเรียนกับคณะใหญ่ที่กรุงเทพ ฯ
แต่เนื่องจากทางกรุงเทพฯ มีคนจัด และมีคนไปมากกว่า ๒๐๐ คน เราจึงตัดสินใจไปกับทัวร์ใบทรัพย์
ซึ่งทางอาจารย์ ทิวา รับรองว่า พวกเราจะได้เรียนแน่ แต่เพื่อให้แน่ใจ ว่าเราไม่ถูกหลอกไปเก้อแน่
จึงให้ทัวร์จัดโปรแกรมทัศนาจรเสริมไปด้วย จากที่ไปเรียน ๔ วัน เราใช้เวลาเป็น ๑๑ วัน โดยเราไปแวะเที่ยว เตอรกีด้วย
แต่เมื่อเราซึ่งมีด้วยกัน ๒๒ ชีวิต ฝากชีวิตไว้กับทัวร์ ใบทรัพย์ มีพวกเราจากเชียงใหม่
เพิ่มคณะจากกรุงเทพ ฯ ที่ตกหล่นอีกหลายคน ได้ไปถึงลูเซิร์น พบกับผู้ที่มาจากประเทศต่าง ๆ ทางยุโรป
พวกเราซึ่งมีกว่า ๒๐๐ กว่กากคน (รวมพวกที่จากกรุงเทพฯ) ก็ “ จ๋อย ” ลงไปมาก
เพราะพวกเขามีเป็นจำนวนพัน
สองวันแรก อาจารย์ใหญ่ยังไม่มา ทางหัวหน้าศูนย์ ลูเซิร์นเป็นผู้สอนระดับ ๓
ภาษาที่ใช้คือ เวียตนาม มีผู้แปลหลายภาษา รวมทั้งภาษาไทย ซึ่งผู้แปลคืออาจารย์ ทิวา ฯ ของเราเอง
วันที่สาม อาจารย์ใหญ่มาถึง ก่อนอื่นก็ทำพิธีเปิดจักระ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ให้พวกเรา
อันนี้ ฉันคิดว่า ควรจะต้องบันทึกไว้ การเปิดจักระระดับ ๑-๒ ที่เราเคยได้รับการเปิดมาแล้ว
วิธีการก็คือ อาจารย์จะเปิดทีละ ๒ จักระ ( ๗-๖, ๕-๔, ๓-๒ ) วันละ ๓๐เปอร์เซ็นต์
จะต้องใช้เวลาทั้งหมด ๖ วัน ในการเปิดจักระได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ แต่การที่อาจารย์ใหญ่เปิดจักระให้เราเพิ่มอีก
๔๐เปอร์เซ็นต์ นั้น วิธีการเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตัวอาจารย์จะนั่งอยู่บนเวที
ที่พวกเราทุกคนสามารถมองเห็นอาจารย์ได้ทุกคน เราจะต้องใช้มือของเราเองแตะที่จักระ ๗ และจักระ ๖ ของเราเอง
โดยให้เพ่งมองไปที่อาจารย์ เป็นเวลา ๑ นาที (โดยประมาณ)
ขณะที่กำลังได้รับการเปิดจักระนั้น เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์แก่ตัวฉัน คือมีความรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว
ไม่กล้าที่จะละสายตาจากอาจารย์ แต่ความสั่นสะเทือนที่รู้สึก ทำให้หวั่นไหวพอสมควร
เมื่อเสร็จสิ้นการเปิดจักระ ก็รีบถามกันถึงความรู้สึกแต่ละคน ก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร
ยิ่งลงมาข้างล่างหลังจากเลิกเวลาเที่ยง ยิ่งเห็นหลายคนที่มีอาการแปลก บางคนอาเจียร
บางคนลงท้อง นอนอยู่ตามเก้าอี้เพราะเวียนศีรษะ เราก็เลยสรุปว่า พลังที่อาจารย์ส่งมาให้เรานั้น แรงมาก
จนเราแทบจะรับไม่ไหว
หลังจากได้วิชาถึงระดับ ๔ พวกเราก็ยังคิดถึงพวกของเราอีกหลายพันที่เมืองไทย
เราจะทำอย่างไรให้อาจารย์ใหญ่ตัดสินใจมาสอนให้กับพวกเรา คณะเรา นำโดยอาจารย์ ทิวา
ขออนุญาตจัดเลี้ยงอาจารย์ใหญ่ในวันสุดท้ายของการเรียน โดยเชิญหัวหน้าศูนย์อื่น ๆ มาร่วมด้วย
และเรา คนไทยทั้งหลายต่างได้พบปะอาจารย์ใหญ่โดยทั่วหน้า ต่างก็เอานิสัยคนไทยติดไปด้วย
คือของฝากจากเมืองไทย มากมายหลายชิ้น จนกองเต็มโต๊ะ รู้สึกอาจารย์จะซึ้งมาก
เมื่อมีการเอ่ยถึงการมาสอนที่ประเทศไทย อาจารย์ตกลงรับปากทันที ขณะนั้น เดือนกันยายน ๒๕๓๘
อาจารย์รับปากว่าจะมาในเดือน ตุลาคม ปีนั้นเอง
หลังจากนั้น เราก็เดินทางท่องเที่ยวต่อไป ยอดเขาทิทลิส เป็นสถานที่มีชื่อเสียงมาก
ไกด์น่ารัก ชื่อติ้กกี้ เป็นผู้ที่พาเราไปหลายแห่ง แม้แต่สถานที่ที่เราเคยเห็นจาก
ในภาพยนต์เรื่อง “ The Sound of Music ” หรือแม้แต่บ่อนคาสิโน พวกเราก็ได้เข้าไปสัมผัส
เรียกว่า คุ้มค่าในการเดินทางคราวนี้ และแน่ละ เราได้กำไรหลายต่อ
เมื่อเรากลับมาคราวนี้ เราก็ยิ่งมีความมั่นใจ ในการที่จะรักษาโรคให้ผู้ป่วย
และพยายามที่จะเผยแพร่วิชาที่เราเห็นว่า ได้บังเกิดประโยชน์แก่เราอย่างมหาศา
แต่จากการอบรมในแต่ละขั้น ได้มีคำสั่งจากศูนย์ใหญ่ที่สหรัฐ ให้มีการเก็บค่าเล่าเรียน
ทั่วโลกให้มีราคาเท่ากันหมด ทำให้เราเกือบช็อค จากการที่เราได้รับคำสั่งให้ใช้วิชานี้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
มีกฎเกณฑ์ที่สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือ ห้ามเก็บเงินจากผู้ป่วย ถึงแม้จะได้รับการบริจาค
ก็ให้ทำบุญ ห้ามเก็บไว้เกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อค่าเรียนได้ถูกประกาศออกมา เรารู้สึกผิดหวังมาก
เพราะการคิดเป็นดอลล่าร์ ทำให้เปลี่ยนเป็นเงินไทยที่สูงมาก ฉันรู้สึกหนักใจ
เพราะในการรับสมัครแต่ละครั้ง ฉันจะต้องเป็นผู้รับหน้าผู้สมัคร ซึ่งหลายคนที่ออกปากถามว่า
“ ทำไมค่าลงทะเบียนถึงได้แพงนัก เรียนเพียง ๒-๓ วัน อุปกรณ์อะไรก็ไม่ต้องมี
ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเรียนในโรงแรมก็ได้ ค่าใช้จ่ายจะได้ถูกลง ”
ฉันก็ได้แต่ปลอบเขาว่า
“ขอให้คุณคิดเสียว่า การที่คุณเรียนวิชานี้ ใช้เวลาไม่กี่วัน แต่คุณ
สามารถที่จะรักษาคนป่วยได้ แม้โรคที่ร้ายแรง ซึ่งพวกเราได้ทำกันมาแล้ว
ถ้าคุณเรียนโดยเสียเงินเท่านี้ ที่คุณว่าแพง แต่ผลที่ได้จะเกินคุ้มนะคะ ”
“ อาจารย์สั่งไม่ให้เราเก็บเงินจากผู้ป่วย เวลาเรารักษาเขาหายแล้ว
แต่เวลาเราเรียน เรากลับเสียเงินแพง ๆ อาจารย์เอาเงินไปทำอะไรนักหนา คุณทราบหรือเปล่า ”
“ อาจารย์บอกว่า ได้นำเงินไปช่วยเหลือผู้มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ที่มีฐานะยากจน ในหลายประเทศ
คุณทราบอย่างนี้แล้ว คุณก็อนุโมทนากับอาจารย์เสีย คุณก็สบายใจ แต่ถ้าคุณจะคอยแต่ระแวงว่า
อาจารย์เอาเงินไปไหน ทำอะไร ใจคุณก็จะเศร้าหมอง คุณอย่าพยายามเอาตัวคุณไปผูกติดกับกรรมของคนอื่น
คุณก็จะได้รับผล คือความสุขใจ และทำให้คุณมีกำลังใจที่จะรักษาช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
ฉันว่า มันไม่แพงเกินไปเลย ในการที่เราได้วิชานี้มานะคะ ”
จุดยืนของพวกเรา ตั้งแต่วันแรก จนถึงบัดนี้ ก็คือ พลังจักรวาล ที่ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล
เราเปิดหู เปิดตา ของเรา และจากการวิเคราะห์จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมาโดยตลอด
คนไข้ของเรา มีทั้งที่หายขาด หายชั่วคราว ไม่หาย อาการทรงอยู่ แต่ก็ไม่ทรุดลงไป
กับตายไปแล้วก็มากมาย เราไม่โยนความผิดให้ใคร หรือ ตัวเอง แต่เราพยายาม
วิเคราะห์ออกมาให้ทราบอย่างแน่ชัดว่า เพราะอะไรจึงทำให้เป็นอย่างนั้น หลายปีเข้า
เราก็แทบจะพูดออกมาได้เลยว่า อะไรทำให้คนไข้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
เป้าหมายของเรา อยู่ที่ คนไข้หายป่วย อาจจะต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย แต่แน่ละ
ฉันต้องเอาพลังจักรวาลเป็นตัวหลัก ช่วยเสริมพลังให้กับคนไข้ทุกคน แต่ฉันก็ไม่รีรอที่จะแนะนำเรื่องอื่น ๆ แก่คนไข้
ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม ไวตามิน การทำสมาธิ การออกกำลังกาย รวมทั้งการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด
การอยู่ในทำเลที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ก่อนที่จะทำการรักษาให้คนไข้ทุกคนที่ฉันมีโอกาสสัมภาษณ์
ฉันจะต้องคุยกับเขาถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ เพื่อให้เขาเข้าใจถึงบทบาทของตัวเขาเองว่า
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เขาหายป่วย หรือไม่หาย อยู่ที่ตัวเขาเอง ไม่ว่าหมอ
หรือ พวกเราเพียงแต่ช่วยเสริมให้เขา
ยกตัวอย่างคนไข้ที่ป่วยด้วยโรค มะเร็ง รังไข่ คนหนึ่ง ชื่อ ต้อม อายุประมาณ ๔๐ ปี
เธอเข้ามาหาเราแบบจิตใจท้อแท้ ร่างกายทรุดโทรม เนื่องจากมะเร็งเล่นงาน เธอมีบุตร ๒ คน
อายุราว ๆ ๑๐ ขวบ ๘ ขวบ เธอล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรง ต้องเข้าโรงพยาบาล และต้องรับการฉายแสง ฉีดคีโม
เนื่องจากไม่สามารถที่จะทำการผ่าตัดได้ เมื่อเธอเข้ามาหาเรา เธอผอมมาก
บอกว่าเจ้าก้อนมะเร็งในท้องของเธอ มีขนาดเท่าลูกมะนาว หมอบอกว่า กว่าที่เจ้าลูกนี้จะฝ่อ
คงจะใช้เวลาประมาณ ๑ ปี มีคนไปบอกเล่าให้คุณพ่อเธอฟังถึงเรื่อง พลังจักรวาล ด้วยความรักลูก
ถึงแม้จะไม่เชื่อ แต่ก็ขอมาลองรักษาดู
หลังจากที่เราช่วยกันรักษาเธอ อาการที่เป็นก็ทยอยหายไป เธอมีความรู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ
ผิวพรรณก็หายเผือด พ่อลูกดีใจมาก สมัครเข้าเรียนวิชานี้ทันที ทั้งคู่เรียนต่อ ขั้นสูงเรื่อย ๆ
จนทันพวกเราที่เคยช่วยรักษาเธอ
ขณะนั้น พวกเราเรียนกันจนถึงระดับ ๕ กำลังจะไปเรียนต่อระดับ ๕.๑,๕.๒ ที่เปิดที่กรุงเทพฯ
เธอก็สมัครไปเรียนพร้อมกับเรา เธอบอกว่า เธอทราบแน่แก่ใจว่า พลังจักรวาลได้ให้อะไรเธอบ้าง
เธอได้ไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลที่เคยรักษา หมอบอกว่า มะเร็งในตัวเธอหายไปหมดแล้ว
ไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีใด ก็ไม่พบเซลมะเร็ง เธอดีใจมาก ขับรถมาหาฉันที่บ้านเพื่อบอกข่าวดีนี้
ฉันแสดงความดีใจกับเธอ และเตือนเธอว่า อย่าละเลยการรักษาตัวเองทุก ๆ วันนะ
เพราะขณะนี้ ความรู้เรื่องพลังจักรวาลเรามีเท่าเทียมกัน เธอจึงรักษาตัวเอง และยังช่วยรักษาคนอื่นที่ป่วยอีกด้วย
เธอศรัทธาในวิชานี้มาก
หลังจากที่เรียนจบระดับ ๕.๒ กลับมาเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๘ เธอก็เว้นว่างจากการไปมาหาสู่กับพวกเรา
แต่เธอก็ยังช่วยเหลือทางชมรม ฯ โดยการอัดรูปอาจารย์ใหญ่ให้เราในราคาที่ถูกมาก ๆ
เพื่อเราจะได้จำหน่ายจ่ายแจกแก่สมาชิกของเรา
ประมาณเกือบปีที่เราไม่ได้นึกถึงเธอในฐานะคนป่วย เรารู้ว่าเธอได้ทำหน้าที่ของเธออยู่
และเราได้ส่งคนไข้ที่อยู่ในละแวกบ้านของเธอ เพื่อขอให้เธอช่วยรักษา
และแล้ววันหนึ่ง ฉันได้รับโทรศัพท์ กรี๋ง ๆ
“ คุณป้าอยู่หรือเปล่าคะ “ มีเสียงถามมาทางโทรศัพท์
“ ป้ากำลังพูดค่ะ ใครจะพูดกับป้า “
“ คุณป้า ต้อมไงคะ คุณป้าจำต้อมไม่ได้แล้วหรือคะ “
“ โอ ต้อม ป้าจำต้อมได้ แต่เมื่อกี้ไม่ได้นึกว่าจะเป็นต้อม ต้อมสบายดีหรือจ๊ะ “
ฉันถามทุกข์สุขของต้อมตามปกติ
“ คุณป้า ต้อมมีความลับจะบอก คุณป้าต้องสัญญาว่าจะไม่บอกใครนะคะ ”
ต้อมขอคำมั่นสัญญา ฉันรีบรับปากเธอ
“ คุณป้า ต้อมเจอก้อนอะไรไม่รู้ขึ้นมาที่เต้านมทั้งสองข้างเลย ต้อมกลัว “
“ เดี๋ยวต้อมอย่าเพิ่งตกใจ ต้อมรีบไปหาหมอเพื่อการตรวจเช็คโดยเร็วนะ
แล้ว ต้อมยังรักษาตัวเองทุกวันหรือเปล่าล่ะ “
“ ต้อมรักษาทุกวันไม่เคยเว้นเลย และต้อมยังช่วยรักษาคนอื่นอีกด้วย
มีคนไข้มาหาต้อมทุกวันเลยค่ะ ต้อมไม่กล้าบอกใคร กลัวว่าจะทำให้เสียชื่อถึงพลังจักรวาลด้วย “
โถ ต้อม ขนาดตัวเองป่วยยังงี้ ยังกลัวจะเสียชื่อว่า พลังจักรวาลรักษาไม่ได้
อุตส่าห์ปิดเป็นความลับ ไม่กล้าบอกใคร ฉันรีบเตือนให้เธอไปหาหมอโดยด่วน
“ คุณป้า หมอบอกว่า ให้รีบมาทำคีโมโดยด่วน ต้อมไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี
พ่อกับแม่ต้อมก็ยังไม่ให้รู้ คุณป้าช่วยรักษาต้อมได้ไหม ต้อมไม่กล้ารักษาตัวเองแล้ว “
“ การตัดสินใจว่าจะคีโมหรือไม่นั้น ป้าไม่กล้าที่จะตัดสินใจแทนได้ ต้อมต้องคิดเอาเอง
ทางที่ดีควรจะปรึกษาพ่อ แม่ และสามี ให้ช่วยกันตัดสินใจ คือถ้าจิตใจเราแข็งพอ ไม่ยอมที่จะใช้คีโมซ้ำอีก
ตัดสินใจรักษาโดยวิธีอื่น ก็ต้องเด็ดขาด แต่ถ้ากึ่งกลัวกึ่งไม่แน่ใจ ก็ควรจะต้องคิดให้ดี
เพราะการใช้คีโม ก็มีผลดีตรงที่มันรวดเร็ว ฉับพลัน แต่ผลข้างเคียงก็มากมาย ซึ่งต้อมก็เคยผจญมาแล้วทั้งนั้น
แต่แน่นอนว่า ป้าจะมาช่วยรักษาให้ต้อมทุกวัน “
เมื่อได้ให้ข้อคิดเช่นนั้น ต้อมก็ได้ปรึกษาหารือกัน แล้วไปหาหมอ
ฉันได้ทราบว่าต้อมตัดสินใจไม่รับคีโม เนื่องจากเคยแพ้มาก และผลข้างเคียงที่ยัง
คงปรากฏอยู่ขณะนี้ก็ทำให้เกิดความทรมานอย่างหนัก ขาทั้งสองข้างบวมเบ่ง
ฉันไปหาตอนบ่าย ๆ รู้สึกตกใจ เพราะบวมมากทั้งสองข้าง แต่ต้อมก็ยังปลอบใจว่า
พอตอนกลางคืนนอน และพยายามยกขาสูง อาการบวมก็หมดไป
ต้อมเกรงใจฉัน พอมาช่วยรักษาให้ระยะหนึ่ง ต้อมก็บอกว่า จิตใจเข้มแข็งขึ้นแล้ว
ขอป้าส่งทางไกลให้ก็แล้วกัน ฉันเห็นต้อมมีอาการดีขึ้นก็ตามใจ ส่งทางไกลให้ทุกคืน
และคอยโทรศัพท์ถามข่าวเธออยู่เสมอ
ต่อมาได้ข่าวว่า ต้อมเข้าโรงพยาบาล แต่กว่าจะรู้และไปเยี่ยม เธอก็
ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ทางบ้านบอกว่า ต้อมไปรักษาศีลอยู่ทางจังหวัดสิงห์บุรี
ฉันก็เบาใจว่า อาการคงจะทุเลา ได้แต่รักษาให้เธอในตอนกลางคืนทุกคืน แล้วจู่ ๆ
ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ของต้อมว่า ต้อมอาการหนักมาก ขณะนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
เข้าใจว่าจะอยู่ได้ไม่เกินวันนี้ ฉันบอกคุณแม่เธอไปว่า ให้รีบไปดูเธอที่โรงพยาบาล
ฉันอยู่ทางนี้จะส่งพลังไปให้เธอ และขอให้เธอส่งข่าวให้ทราบด้วย
บ่ายวันนั้น ก็ได้ทราบข่าวว่า เธอสิ้นใจเมื่อคุณแม่ไปถึงโรงพยาบาลเพียงครู่เดียว
มะเร็งได้กัดกินเธอแทบจะทั้งตัว แต่เธอก็มีความอดทนต่อสู้ทุกวิถีทาง แต่แล้วก็ต้องพ่ายแพ้แก่โรคร้าย
ฉันพยายามที่จะวิเคราะห์ว่า อะไร และทำไม หลังจากที่เซลมะเร็งหายไปจากตัวเธอแล้ว
จนทางการแพทย์ค้นหาไม่เจอ แล้วทำไมโรคร้ายนี้ถึงได้หวนกลับมารังควาญจนเธอต้องพ่ายแพ้แก่มัน
จากการสอบถามจากหลายทาง พอที่จะประมวลได้ว่า ชีวิตของต้อมมีความเครียดมากมาย
ต้องต่อสู้ดิ้นรน และภายในครอบครัว ก็มีความขัดแย้งระหว่างพ่อ แม่ และสามีของเธอ
ทำให้เธอซึ่งเป็นคนกลาง ต้องโดนกระทบทั้งสองฝ่าย ทั้งยังต้องดิ้นรนเพื่องานอาชีพอีกด้วย
ท้ายที่สุด เธอเป็นคนเก็บกด ทุกอย่างเธอไม่ค่อยยอมพูดระบายออกมา แม้แต่ตัวเองกลับป่วยขึ้นมาอีกด้วยโรคเดิม
ก็พยายามเก็บเป็นความลับ เพราะกลัวจะเสียชื่อ พลังจักรวาล สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นอาหารอย่างโอชะของเซลมะเร็ง
นอกจากความเครียด ฉันก็ไม่ทราบว่ามีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า เช่นเรื่องอาหารการกินของเธอ
มลพิษรอบ ๆ ตัวเธอ แต่แน่นอนว่า เธอไม่มีการออกกำลังกายเลย
บทสรุปในเรื่องนี้ ทำให้ฉันประเมินได้ว่า วิชาพลังจักรวาลสามารถรักษาโรคให้หายได้
แม้โรคที่ร้ายแรง แต่ไม่ทำให้หายขาดได้ หากคนไข้ยังมีพฤติกรรมอย่างเดิม โรคก็อาจกลับมาอีกได้แน่นอน
หลาย ๆ กรณีของคนไข้ ทำให้ฉันประมวลออกมาๆได้ว่า การที่คนไข้จะหายหรือไม่
ไม่ใช่เพียงการรักษาอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นอีกหลายอย่าง ฉันจะลองลำดับออกมาไว้ว่ามีอะไรบ้าง
ปัจจัยที่หนึ่ง ผู้รักษาต้องมีความพร้อม มีเจตนาบริสุทธิ์ ทำการบ้านมาดี
ปัจจัยที่สอง ผู้ป่วยมีการยอมรับ มีศรัทธา และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาตัวด้วยวิชาพลังจักรวาล
ปัจจัยที่สาม การวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง ตรงกับที่ผู้ป่วยเป็น
ปัจจัยที่สี่ กรรมของผู้ป่วย ในที่นี้ ฉันหมายถึงกรรมทั้งเก่า และกรรมปัจจุบัน
กรรมเก่า เราต้องพยายามสร้างกรรมใหม่ที่ดี เพื่อผลกรรมที่ดีจะช่วยส่งผลให้บ้าง
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถลบกรรมเก่าที่ตัวเองทำไว้แต่อดีต แต่กรรมที่สำคัญมาก
คือกรรมปัจจุบัน หรือเรียกว่า พฤติกรรมของตัวเราเอง เช่น การกิน การอยู่ สิ่งแวดล้อม และอารมณ์
สิ่งแรกที่ฉันจะถามคนไข้ คือ เมื่อทราบว่าตัวเองป่วย ( ด้วยโรคใดโรคหนึ่ง )
หลังจากที่หายตกใจแล้ว มีความรู้สึกอย่างไร ยอมรับโดยดี ว่า เราป่วย
แน่นอนว่าการทำใจให้ยอมรับ สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้ตั้งสติได้ว่า เรากำลังป่วย
ทีนี้ เราจะทำอะไรก่อนอื่น จะตัดสินใจรักษาด้วยวิธีไหน ไม่ใช่ลังเล วิ่งวุ่น หาหมอคนนี้ได้เดือน
เปลี่ยนไปหาหมอคนใหม่อีก เดี๋ยวได้ยินคนนั้นบอกว่า ไปรักษาทางนี้สิดี ก็ไปทันที
เรียกว่าลนลาน เพื่อจะให้เขารักษาให้ พอตกลงรักษา ก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาหมด
ให้หมอทำการรักษาโดยที่ตัวเองไม่ได้ช่วยหมอที่จะดูอาการของตนเองเลย หมอซึ่งรักษาเรา
เขาเพียงแค่ตรวจ และฟังอาการจากเรา แล้ววินิจฉัยโรค ให้ยาไปตามนั้น เราเองซึ่งตลอด ๒๔ ชั่วโมง
เราจะรู้อาการของเราดีที่สุด แยกให้ถูกว่า อาการเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รวบรวมให้หมออีกที
เป็นผู้ช่วยหมอ รายงานการเปลี่ยนแปลงในอาการที่ป่วย หมอจะเบาใจมาก
การรักษาโรคด้วยวิชาพลังจักรวาล ฉันช่วยให้ผู้ป่วยสบายใจว่า
พลังจักรวาลยินดีที่จะไปช่วยเสริมให้กับการที่เขากำลังรักษาอยู่ พร้อมทั้งช่วยแนะนำ
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย ฉันบอกเขาว่า โรคภัยเราจะผ่อนคลายหายได้
ต้องอาศัยปัจจัยหลายข้อเช่นกัน ดังเช่นที่มหาวิทยาลัยของอเมริกาที่มีชื่อเสียง
คือ มหาวิทยาลัยฮาววาร์ด สรุปว่าดังนี้
๑. การรักษาทางวิทยาศาสตร์ คือ แพทย์แผนปัจจุบัน
๒. อาหารเสริม
๓. การออกกำลังกาย
๔. การทำสมาธิ
ถ้าคนไข้ทำการบำบัดครบทุกขั้นตอน ไม่ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไซร้
คนไข้คนนั้นก็มีหวังว่าจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้รวดเร็ว ร่างกายและจิตใจก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงและสมบูรณ์
ไม่ต้องห่วงว่า ถ้ามารักษาที่พลังจักรวาลแล้ว จะต้องงดเว้นการกินยา และต้องไม่ไปหาหมออื่น ๆ
จุดมุ่งหมายของพวกเราที่ได้รวมกันช่วยเหลือผู้ป่วย ณ ที่นี้ เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมาน
จากโรคภัยไข้เจ็บของคนไข้ แต่คนไข้จะคิดว่าหายด้วยอะไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับเรา
ความประสงค์ขอให้คนป่วยหาย เราก็ยินดีด้วยใจจริง เราไม่ทิ้งคนไข้ ดังจะยกตัวอย่างคนไข้อีกสักคน
ที่เขาเองเป็นคนยืนยันว่า เขาหายด้วยพลังจักรวาลแท้ ๆ คนไข้คนนี้เป็นนายแพทย์
อายุท่านประมาณ ๗๐ กว่า ลูกชายก็เป็นนายแพทย์ เรียกท่านว่า หมอภาพ เมื่อประมาณ ๓๐ ปีก่อน
ท่านเคยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบครั้งหนึ่ง ทำให้ท่านคางแข็ง พูดลำบาก หมอบอกว่า
ถ้าตีบอีกครั้งหนึ่งก็คงจะต้องนั่งกินนอนกินเป็นแน่ แต่ท่านก็รักษาตัวดีมาก อยู่มาได้อีกนาน
จนมีอายุมาก วันหนึ่ง พี่ศรี ภรรยาของท่านโทรศัพท์ถึงฉัน
“ พี่ขอช่วยรักษาหมอให้ด้วย เพิ่งเอาไปส่งโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้เอง
หมอบอกว่า เป็นส้นเลือดในสมองตีบ ”
“ อาการเป็นอย่างไรบ้างคะพี่ ” ฉันรีบถามรายละเอียด
“ ร่างกายซีกขวาไม่มีแรง ยกไม่ขึ้น หมอเอ๊กซเรย์ดูแล้ว เส้นเลือดใน
สมองด้านซ้ายค่อนไปด้านหลังตีบประมาณ ๓ เซนต์ ”
“ เอาเป็นว่า เดี๋ยวจะเริ่มลงมือรักษาให้เลยตอนนี้ และจะรักษาให้ต่อ
ไปทุก ๆ คืนเวลา ๒ ทุ่ม นะพี่นะ ขอเป็นส่งทางไกลก็แล้วกันนะคะ ”
“ เอาไงก็เอา เพราะหมอเขาประชุมกันแล้ว ผ่าตัดไม่ได้ ต้องปล่อยให้ค่อย ๆ
ฟื้นขึ้นมาเอง ถ้าลุกได้ก็ใช้กายภาพบำบัดช่วย ”
ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาให้ท่านทุกคืนตามกรรมวิธีของฉัน
โดยจะอ่านโรคของท่าน อาการที่เป็น คือ ร่างกายซีกขวาไม่มีแรง และรักษารวมกับคนไข้อื่น ๆ
เวลาผ่านไปเกือบ ๒๐ วัน พี่ศรีก็โทรศัพท์มาบอกว่า พรุ่งนี้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการทั่วไปดีขึ้น ลุกขึ้นนั่งได้ กินอาหารได้
แต่ซีกขวาก็ยังไม่ค่อยมีแรง จับช้อนกินข้าวเองได้แล้ว กลับมาบ้านจะต้องมาหัด
เขียนหนังสือ ขอให้ฉันรักษาต่อไป
หมอกลับมาอยู่บ้านได้ไม่ถึงสามอาทิตย์ พี่ศรีก็โทรมาอีกแต่เช้า
“ หมอกลับเป็นอีกแล้วนะ นี่พี่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาล คราวนี้ มากกว่าเดิมอีก
คือเส้นเลือดอีกเส้นใกล้ เส้นเดิม คราวนี้แตกยาว ๓ เซ็นต์ ร่างกายซีกขวานิ่งสนิท
ขยับไม่ได้เลย พูดก็ไม่ได้ ทำยังไงดี ลูกบอกว่า คราวนี้เห็นทีพ่อจะต้องนั่ง ๆ
นอน ๆ เสียแน่แท้ ช่วยหมอด้วยนะ ”
“ ขอรับรองว่า ได้ทำการรักษาให้ทุกคืนโดยไม่เคยหยุดเลยค่ะ แต่ผล
จะเป็นอย่างไร ก็ต้องสุดแล้วแต่เวรกรรมของท่านล่ะนะ ”
ทางบ้านพี่ศรีก็ตระเตรียมทำห้องนอน และทำลานที่จะให้หมอใช้รถเข็น
ที่ให้พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล ก็เพื่อจะให้ทำกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะทำได้ แต่แล้วหลังจากนั้น
ก็มีข่าวมาเรื่อย ๆ ว่า อาการของหมอดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่เสียงพูดก็เริ่มดังขึ้น ลุกขึ้นนั่งได้
และพยายามที่จะช่วยตัวเองด้วยการเดิน จนลูกสาวซึ่งเป็นพยาบาลตกใจว่า พ่อจะล้มอีก
ขู่ว่า ถ้าพ่อยังพยายามที่จะลุกโดยไม่มีใครเห็น ลูกจะไม่มาหาพ่ออีก
ถึงอย่างไรก็ดี ด้วยความมุมานะที่จะลุกจะเดิน ในที่สุด หมอก็เดินได้
ตอนแรกใช้ไม้เท้าช่วย ตื่นเช้าก็จะเดิน ๆ ๆ ไปแทบจะทั่วเมือง จนผลสุดท้าย ไม้เท้าก็กลายเป็นร่มคันหนึ่ง
ถือไว้เพื่อใช้แทนไม้เท้า กันแดด เดินได้ปกติภายในเวลาไม่ถึง ๖ เดือน แทบทุกคนที่อยู่ในแวดวง
ลงความเห็นว่า หมอหายด้วยพลังจักรวาล เพราะเป็นสิ่งเดียวที่หมอได้รับขณะป่วย (ยกเว้นน้ำเกลือ และยาบำรุง )
สำหรับฉัน วิเคราะห์ว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้หมอหายป่วยครั้งนี้
เป็นเพราะตัวท่านเอง ท่านต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่ย่อท้อ ใช้อวัยวะได้ข้างเดียว
แต่ก็พยายามที่จะช่วยตัวเอง ต้องการจะลุก จะเดิน จะพูดให้ได้ พอได้รับพลังเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ
ก็ “ ปิ้ง “ เลย และจนบัดนี้ เวลาผ่านมาจากเริ่มป่วยก็ ๓ ปีแล้ว ท่านก็ยังปกติสุขในสภาพคนแก่ที่ปกติทุกอย่าง
ฉันขอเล่าเรื่องของผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง คนไข้รายนี้เป็นคนหนุ่ม
ดูภายนอกร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง งานที่เขาทำคือ เป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่
สาเหตุที่เขามาหาเรา เนื่องจาก การตรวจสุขภาพประจำปีของเขา มีบางสิ่งบางอย่างส่อว่า
ตับของเขาไม่ปกติ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ละเลย ถึงแม้จะไม่มีอาการอย่างใดเลย ที่จะแสดงถึงความเจ็บป่วย
หลังจากที่ตรวจหลายหมอ จนสุดท้ายลงไปกรุงเทพฯ เพื่อพบอาจารย์หมอที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องตับ
ผลออกมาว่า เขาเป็นมะเร็งที่ขั้วตับ ใกล้เส้นเลือดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า ผ่าตัดเอา
เซลมะเร็งก้อนขนาดลูกมะนาวก้อนนั้นออกไม่ได้ หมอนัดบำบัดด้วยเคมีบำบัด
กะประมาณว่า เดือนละ ๑ เข็ม คงจะต้องใช้เวลาฉีด ประมาณ ๔ เข็ม ถึงจะยับยั้งเซลก้อนนี้ลงได้
หลังจากฉีดเคโมเข็มแรกที่กรุงเทพฯ ก็เดินทางกลับมาเชียงใหม่ มีคนพาเขามาพบฉัน
เพื่อขอให้ช่วยรักษาเขาด้วยวิชาพลังจักรวาล เขาฉีดเคโมเข็มแรก เมื่อ วันที่ ๑๗ มาพบฉันเมื่อวันที่ ๒๕
เราได้รักษาเขาด้วยวิชาพลังจักรวาลของเรา เขาเป็นคนไข้ที่มีวินัยดีมาก มาหาเราทุกวันไม่เคยขาด
จนกระทั่งวันที่ ๑๖ อีกเดือนหนึ่ง เขาก็มาลาว่าจะไปรับการ
บำบัดเข็มที่ ๒ ที่กรุงเทพฯ เราก็รับปากว่า จะส่งทางไกลไปให้เขา
เขาหายไป ๒ วันก็กลับมา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บอกข่าวดีแก่พวกเราว่า
หมอที่นัดไปฉีดเคโม หลังจากตรวจแล้ว ปรากฏว่า ก้อนเนื้อลดลงมาก จนเขาบอกว่า
เข็มที่ ๒ นี้ยังไม่ต้องฉีด เลื่อนไปอีก ๓ เดือน ทำให้เขาดีใจมาก
พอกลับมาแล้ว เขาก็สนใจอยากเรียนวิชานี้ เพราะเชื่อว่า ได้ช่วยรักษาเขาได้ในระดับหนึ่ง
แต่ถึงแม้เขาจะเรียนจนถึงระดับ ๓ สามารถรักษาตัวเองได้แล้ว
เขาก็ยังมาหาพวกเรา ฉันได้แนะนำ เรื่อง อาหารการกิน ความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเครียด เขาก็สนใจศึกษาและปฏิบัติตาม จนสุดท้าย
เขาก็มาแจ้งข่าวดีว่า เซลมะเร็งหายไปจากตัวเขาแล้ว และขณะนี้ เขาก็หันมาใช้ชีวิตแบบชีวจิต ซึ่งฉันก็แสดงความยินดีกับเขา และรู้สึกว่า เราได้ช่วยคนไว้ได้อีกคนหนึ่งแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้มาหาเราอีก เคยพบเขาที่ร้านอาหารมังสวิรัติ
ได้ทักทายกัน และก็ยังย้ำเตือนเขาเรื่อง อย่าลืมที่จะรักษาตัวเองทุกวัน ซึ่งเขาก็รับปาก
หลังจากนั้นอีกเกือบปี เขาก็โผล่มาที่ชมรมฯอีก ฉันนึกว่า
เขามาเยี่ยมเรา แต่ปรากฏว่า เขารายงานว่า เขามีอาการอืดท้อง เหมือนอาหารไม่ย่อย
บางครั้งก็เจ็บ ฉันใจหายวูบ รีบไต่ถามอาการโดยทั่ว ๆไป เหมือนต้อมเลย หายแล้วกลับมาอีก
เขามาให้เรารักษาไม่กี่วัน ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากท้องมาน แสดงว่า ตับไม่ทำงาน
ระยะหลังนี้ อาการทรุดลงเร็วมาก พอตับมีปัญหา อวัยวะอื่น ๆ ก็พากันรวน จนในที่สุดเขาก็จากเราไป ซึ่งน่าเสียใจอย่างยิ่ง
นอกจากจะทำใจว่า บุญกรรมของเขาทำมาแค่นี้ ฉันก็ไม่รู้จะสรุปว่าอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
พลังจักรวาลก็ช่วยไม่ให้เขาทรมานมากนัก
เขามีสติตลอดเวลา ก็ขอให้เขาไปดี
ฉันอยากจะพูดถึงการส่งพลังให้กับผู้ป่วยที่อยู่ไกล ซึ่งตั้งแต่วันที่อบรมเสร็จ
คือ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙ เพิ่งจบจากการเรียนระดับ ๕.๑ วิธีรักษาโรคทางไกล
ฉันไม่รีรอ คืนนั้นรีบจัดแจงส่งพลังไปให้ผู้ที่ฉันรัก และเป็นห่วงในสุขภาพ ฉันจำไม่ได้แล้วว่า
ฉันส่งให้ใครบ้าง แต่ก็หลายคน และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ฉันไม่เคยที่
จะละเว้นการส่งพลังไปถึงผู้ป่วยของฉันเลยสักวันเดียว ฉันไม่คิดอย่างคนอื่นที่จะไม่รักษาต่อเนื่องนาน ๆ
ฉันถือว่า พลังฉันอาจจะไม่มากพอที่จะไปทำให้ผู้ป่วยของฉันหายได้ในเร็ววัน
แต่ถ้าฉันมีความเพียรส่งให้เขาทุกคืน ๆ เขาอาจจะดีและหายจากโรคได้
ฉันจึงตั้งหน้าตั้งตาทำทุกคืนอย่างไม่ขี้เกียจ ถึงแม้ว่าบางครั้งฉันอาจป่วย
แต่ฉันก็ยังตั้งอกตั้งใจส่งตามแต่พลังจะมี ระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร
ทำให้ฉันพอจะประมวลเรื่อง การส่งพลังไปรักษาผู้ป่วยทางไกลได้ดังนี้
– ผู้สูงอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป ฉันจะรักษาเรื่อย ๆ ไปด้วยโรคชรา
อาจจะมีอาการแทรกซ้อนขึ้นมาเป็นบางคราว แต่ในเมื่อได้นำมารักษาแล้ว และเห็นว่าอายุมากเกิน
ก็ปวารณาตัวว่า จะรักษาไปจนตลอดชีวิตของท่านเหล่านั้น และฉันก็ได้ทราบด้วยความยินดีที่ คนไข้เหล่านั้น
คนที่ถึงแก่อายุขัย ส่วนมากก็จะหลับ แล้วสิ้นใจอย่างสงบ ไม่เจ็บป่วยทุรนทุราย ๘๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ทีเดียว
ฉันไม่ได้จดเอาไว้ว่า สิ้นไปแล้วกี่ราย แต่ไม่ต่ำกว่า ๒๐ คน และที่กำลังส่งให้อยู่ขณะนี้ที่อายุเกิน ๘๐ ปี
ก็อีกกว่า ๑๐ คน เป็นพระสงฆ์ผู้เฒ่าก็หลายองค์ บางองค์ฉันไม่เคยรู้จักท่านโดยส่วนตัวเลย
แต่ฉันก็นำท่านมารักษา เพราะฉันเสียดาย หากท่านที่มีคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
จะต้องทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ฉันไม่ได้เลือกว่า จะต้องรู้จัก หรือต้องมาขอร้องให้ฉันรักษาท่านเหล่านั้น
(อาจจะนอกเหนือกฎเกณฑ์ที่อาจารย์สอนไว้บ้าง )
เพราะที่ฉันทำ ไม่ได้ยึดถือตัวเองเป็นเกณฑ์ ฉันชอบปิดทองหลังพระ
ไม่ต้องประกาศให้ใคร ๆ ต้องมารู้กับฉัน
– คนไข้โรคหนัก ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ ฉันจะรักษาโรค
และอาการแทรกซ้อนที่เขาเป็น ฉันจะให้เขารายงานผลเดือนละครั้ง เพื่อทราบความเปลี่ยนแปลงของโรค
ถ้าเขารายงานสม่ำเสมอ ฉันก็จะรักษาเขาอย่างต่อเนื่องเรื่อย ๆ แต่ถ้าเขาหายเงียบไปเกิน ๖ เดือน
ฉันก็จะพิจารณาหยุดการรักษา โดยคิดว่า เขาคงจะหายแล้ว หรือม่ายงั้นเขาก็คงจะรับไม่ได้
อาการไม่ดีขึ้นเลย หมดความสามารถของฉัน ฉันก็จะใช้ธรรมะข้อสุดท้าย คือ อุเบกขา
ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ฉันรักษาอยู่ประจำก็หลายราย บางครั้งก็ป่วย แต่แล้วก็หาย บางคนเป็นโรคทารัสซีเมีย
ฉันก็มีความรู้สึกว่า ถึงเขาจะไม่หายจากโรคนี้ แต่สุขภาพของเขาเหล่านั้น ก็รู้สึกว่า
จะดีกว่าตอนที่ฉันยังไม่ได้รักษา (คนไข้บอกเอง) เท่านี้ฉันก็พอใจแล้วละ
คนไข้ที่ป่วยฉุกเฉิน อุบัติเหตุเป็นต้น อันนี้ส่วนใหญ่จะหายเร็วกว่าผู้ที่
ไม่ได้รับการรักษาด้วยพลังจักรวาล และมีเรื่องที่แปลก อยากจะเล่าให้ฟัง คือวันหนึ่ง
ฉันได้รับการขอร้องให้ช่วยรักษาคนป่วยอุบัติเหตุรถยนต์ที่เขานั่งไป ชนกับรถอีกคัน
เธอซึ่งนั่งอยู่กระบะหลังรถกระเด็นขึ้นไปด้านหน้ารถ แล้วตกลงไปที่ถนน กระดูกขาหัก
เลือดออกมาก มีอาการบอบช้ำมาก หมอบอกว่า โอกาสหาย มี ๕๐ / ๕๐ เพราะเธออายุก็มากแล้ว
ดูเหมือนกว่า ๕๐ ปี ฉันไม่เคยรู้จัก แต่เธอเป็นน้องของท่านเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ตัวเธออยู่พัทลุง
ท่านเจ้าอาวาสท่านโทรศัพท์มาบอกให้ฉันช่วยรักษาน้องของท่านด้วย
ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาการเจ็บป่วยครั้งนี้ ด้วยการเขียนอาการทั้งหมดที่ท่านถ่ายทอดมาให้ฉัน
และทำการรักษาทุก ๆ คืน จนเวลาผ่านไปเกือบ ๒ เดือน ท่านกลับจากไปเยี่ยมน้องที่บ้าน
ท่านโทรศัพท์มาหาฉัน บอกว่า น้องมีอาการดีมาก เกือบจะหายสนิทแล้ว ท่านเอาไม้เท้าไปฝาก
นึกว่า น้องจะต้องใช้ เนื่องจากขาหัก ปรากฏว่า น้องเดินปร๋อ ไม่ใช้ไม้เท้า
หมอบอกว่า หายเร็วกว่าคนอื่น ๆ หมด
“ – แต่ว่า ยังมีอาการปวดหัวคงค้างอยู่อีกอย่างที่ยังไม่ยอมหาย ไม่รู้เป็นอย่างไร ”
“ เอ ก็ท่านไม่เคยบอกว่า น้องมีอาการปวดหัวนี่นา พี่ไม่รู้เลย และไม่ได้รักษาตรงนั้นให้เลย ”
“ ขอโทษเถอะ มันฉุกละหุกเกินไป อาตมาก็ลืมไปว่า หัวเขาฟาดถนน โนเป็นก้อน โต”
ตกลงว่า ฉันก็ได้รักษาอาการปวดหัวเธอเพิ่มอีกรายการหนึ่ง
ต่อมาอีกประมาณ ๑๐ วัน ท่านก็บอกว่า น้องโทรศัพท์มาว่า หายปวดแล้ว
ฉันก็แจ่มแจ้งขึ้นมาอีกข้อหนึ่งว่า ถ้าผู้รักษาไม่ได้รับแจ้งอาการที่ถูกต้อง เจ็บปวดอยู่ ๒ แห่งแต่บอกแห่งเดียว
พลังก็ไปรักษาจุดที่ผู้รักษารู้ จุดที่ไม่รู้ก็ไม่ได้รักษา แปลกจริง ๆ ซึ่งไม่ใช่รายนี้รายเดียว
มีหลายรายที่พลังจะไม่บำบัดให้ ถ้าผู้รักษาไม่ได้รับทราบ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันพยายามที่จะบอกให้ผู้ป่วยเข้าใจ
และในรายการรักษาของฉัน จึงต้องใช้เวลาอ่านอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด ทุก ๆ ครั้งที่ทำการรักษา
– คนป่วยที่ฉันรักษาทางไกลให้ พอจะประมวลว่า ครึ่งต่อครึ่ง
ที่มีอาการดีและหายป่วย หรืออาการไม่ทรุดหนักลงอีก แต่อีกครึ่งคือไม่ได้ผล
เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฉันมีกำลังใจ และพอใจอย่างที่สุดแล้ว
– คนป่วยทางอารมณ์ เช่น ความเครียด ความเกลียดชัง ความกลัว
ความโกรธ ฉันทดลองรักษามาเรื่อย ๆ สำหรับบางคน ฉันกล้าพูดได้ว่า เราสามารถ
ปรับเปลี่ยนอารมณ์ของเขาได้ ไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า
จะสำเร็จทุกรายไป แต่ละรายใช้เวลานานมาก
เรื่องแบบนี้ ฉันชอบเอาไปใช้เวลาจะเข้าไปติดต่อการงานกับหน่วยราชการต่าง ๆ
หรือกับบุคคลที่ยังไม่เคยพบกัน อาจจะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเรื่องสำคัญก็ตาม
ใช้หลักธรรมคือการแผ่เมตตาไปให้เขาก่อน ซึ่งปกติฉันก็เคยใช้อยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้
เมื่อฉันมีพลังจักรวาล ฉันรู้สึกว่า การใช้หลักแผ่เมตตาเป็นเครื่องนำทาง ดูจะมีผลดีขึ้นอีกมาก
– คนป่วยฉุกเฉิน ที่ฉันไปพบตามที่ต่าง ๆ ฉันจะใช้จักระ ๖ ของฉันเพ่งตรงไปยังจุดนั้น
โดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยเหลือเป็นการปฐมพยาบาล แล้วต่อจากนั้น ก็เป็นเรื่องของเขาที่ทำกัน
ถ้าหากฉันไม่อยู่ที่เดิม ที่จะให้ความช่วยเหลือต่อไปได้
– นอกจากผู้ป่วยที่เป็นมนุษย์แล้ว สิ่งมีชีวิตอย่างอื่น ฉันก็หาโอกาสช่วยเหลือ
ไปตามเหตุการณ์ ถ้าหากตัวฉันไปประสบเหตุเข้า แต่ฉันก็ไม่เคยที่จะบอก หรือแม้แต่คิดว่า
ฉันเป็นผู้ช่วยเหลือเขาเหล่านั้น ฉันพอใจในการคิด การทำของฉันคนเดียว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เพราะฉันจะเก็บข้อมูลทั้งหลาย เพื่อเอาไปวิเคราะห์ดูภายหลัง เพื่อเพิ่มพูนความรู้เรื่องพลังจักรวาลของฉัน
ฉันอยากจะเล่าถึงคนไข้อีกคนหนึ่ง ซึ่งฉันก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่า
ทำไมคนไข้ของเราที่ดูภายนอกมีอาการดีขึ้นมาก เหมือนคนปกติ แต่เราไม่สามารถ
แย่งเขาจากความตายได้ในที่สุด
คนไข้คนนี้ ชื่อ อนันต์ เป็นผู้ชายอายุประมาณ ๒๕ – ๒๖ ปี วันแรกที่เขาเข้ามาหาเรา
พี่ชายต้องพยุงหิ้วปีก เนื่องจากป่วยหนัก ไม่มีแรง เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ผอมมาก
พวกเราดูก็รู้ว่า เขาติดเชื้อเอดส์ เพราะมีตุ่มตามแขนเห็นได้ชัด
เรารักษาเขาตามแบบของเรา ซึ่งเขาเป็นคนดีมาก ไม่ยอมขาดการมารับการรักษาเลย
และอาการก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเวลาผ่านไปประมาณ ๓ เดือนกว่า เขามาหาเราเมื่อปลายปี ๒๕๓๙
ต้นปี ๒๕๔๐ เขาก็ดูเหมือนคนปกติ ถึงแม้จะยังผอมอยู่บ้าง แต่น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาก
เราให้เขาเรียนวิชานี้จนถึงระดับ ๓ แต่เขาก็ยังมาให้เรารักษาอยู่ทุกวัน เขามาปรึกษาว่า
จะไปทำงานช่วยพี่ได้ไหม ฉันก็บอกว่า ถ้าเขารู้สึกแข็งแรงก็ไม่มีปัญหา แต่อย่าทำงานหนักจนเกินไป
เขาช่วยพี่ในการขับรถส่งของ และคุมคนงาน
ถึงแม้ว่าเขาจะไปทำงาน แต่เขาก็จะมาแวะหาพวกเราทุกวัน ส่วนเสีย
ของเขามีอยู่อย่างคือกินอาหารยาก ทำให้พอรู้สึกไม่สบายก็กินอาหารไม่ลงทุกที
อาการของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่เราพอใจ ก็คิดว่าเขาคงโชคดี หายจากการป่วย
นับจากวันแรกที่เขาเข้ามาหาเรา เป็นเวลาที่เขามีอาการเป็นปกติสุขอยู่ ๑ ปีเต็ม ๆ
พอถึงช่วงต้นปี ๒๕๔๑ เขาเริ่มกระเสาะกระแสะอีกด้วยการมีไข้แทบทุกวัน
ฉันพยายามหาเงินให้เขาไปตรวจเลือดดูอีกครั้ง ผลเลือดปรากฏว่า ซีดีโฟ มีเพียงหลักหน่วย
ไม่ถึงสิบด้วยซ้ำ ฉันตกใจมาก เพราะคนป่วยคนอื่นที่มีอาการหนัก เรียกว่าขั้นสุดท้าย
ยังตรวจเลือดพบว่า ซีดีโฟมี ๘–๙๐ แต่ของอนันต์มีไม่ถึง ๑๐ เป็นไปได้ยังไง ฉันก็ปลอบใจว่า
หมอคงตรวจผิด แต่อาการของเขาก็ทรุดหนักลงทุกวันอย่างรวดเร็ว จนประมาณกลางปี เขาก็เสียชีวิต
ก่อนสิ้นใจ เขาจะเกิดประสาทหลอน คิดว่าเชื้อคงขึ้นสมอง ทำให้เขาเห็นอะไรต่าง ๆ นานา
ในกรณีนี้ ฉันค่อนข้างจะเชื่อว่า พลังจักรวาลเพียงแค่สะกดเชื้อไว้ได้เพียงระยะหนึ่ง
แน่นอนว่าเราสามารถช่วยรักษาโรคแทรกซ้อนได้ผล แต่เชื้อที่คงค้างอยู่ในตัวผู้ป่วย ไม่ยอมสยบ
มันคอยจังหวะอยู่ พอมันตั้งตัวได้ คือผู้ป่วยออกกำลังมากเกิน และเราก็ไม่รู้ถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตอื่น ๆ ของเขา
พอสุขภาพเสื่อมถอย เชื้อก็ตรงเข้าเล่นงานทันที เราก็ได้แต่เสียใจ เพราะเขามาหาเราทุกวันสม่ำเสมอ
ถึงแม้อาการจะดูจากภายนอกว่าปกติดีแล้วก็ตาม ขอให้เขาไปสู่สุคติเถิด
อีกรายหนึ่ง เธอมาหาเราตอนแรกแบบคนป่วยหนัก ผิวพรรณซีดเซียว
โรคที่ทำร้ายเธอ คือ มะเร็งในเม็ดเลือด เธอชื่อ วิวรรณ์ อายุ ๕๐ ปี ผมร่วงเนื่องจากฉีดคีโม ขอบตาเขียวคล้ำ
หลังจากรักษาเธออยู่หลายเดือน อาการเธอก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เธอยังต้องฉีดยา
เพื่อช่วยทำลายเซลมะเร็ง และยาที่จะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว และก็เช่นเดียวกัน
เราให้เธอเรียนวิชาพลังจักรวาล จนถึงระดับ ๔
เธอเป็นคนมีอัธยาศัยดีน่ารักมาก ถึงแม้ตัวเองจะป่วยด้วยโรคร้ายแรง แต่ก็มีน้ำใจมาช่วยเราที่ชมรม ฯ
เราพบคนป่วยด้วยโรคเดียวกับเธอหลายคน แต่แล้วทุกคนก็จากไป คงเหลือเธอ
ซึ่งเธอก็บอกว่า ขออยู่เพียงให้ลูกสาวเรียนจบ ลูกสาวคนเดียวของเธอเรียนแพทย์
แต่เธอมีพี่น้องที่น่ารัก ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่ เราดูจากสุขภาพร่างกายและกำลังใจแล้ว
เราก็คิดว่า เธอน่าจะอยู่ไปได้อีกนาน
เธอเป็นคนที่เสาะแสวงหายาหรืออะไรก็ตามที่มีเธอคิดว่าจะช่วยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ
ครั้งหนึ่งเธอได้ทราบข่าวว่า มีอาจารย์ที่มีวิชาพิเศษ สามารถรักษาโรคได้หลายโรค
พวกเราก็สนใจ เนื่องเพราะเราเองก็เสาะแสวงหาบุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ
เผื่อเราเจอคนป่วย เราก็จะได้เป็นสื่อกลาง ช่วยแนะนำคนไข้ของเรา โดยที่เราก็ใช้วิชา
พลังจักรวาลช่วยเสริมทุกคนไป เราถือว่า ลางเนื้อชอบลางยา
หลังจากที่มีผู้บอกเล่าให้เราฟังถึงอาจารย์คนนี้ เธอก็กระตือรือร้นอยากจะไป
เราก็นัดไปกัน ๓ คน บอกกันเองว่า ไปลองดูก่อน พอไปถึง พอดีกำลังว่างคนไข้
เรามีโอกาสคุยกับอาจารย์ เธอบอกว่าเธอเป็นโรคลูคีเมีย อาจารย์ก็คุยว่า เคยมีคนป่วยแบบเธอมารักษา
อาการดีขึ้น และดูเหมือนจะหายแล้ว พอเธอเข้ารับการรักษา อาจารย์ใช้วิธีนวดที่ไม่เหมือนใคร
คือใช้นิ้วมือจิ้ม ๆ ลงไปทั้งสองข้าง ที่จุดต้นขาและเหนืออก ดูก็ไม่รู้สึกว่า ใช้แรงกดหรือกระแทก
แต่ดูเธอเจ็บมาก กัดผ้าเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องออกมา
เธอไปรับการรักษา ๒ วัน แต่พอวันที่ ๓ เธอก็ไปบอกอาจารย์ว่า
เธอเจ็บจนเขียวช้ำตรงบริเวณที่ถูกจิ้ม เธอไม่ขอรักษาแล้ว อาจารย์ก็บอกว่า
เธอเป็นไม่มากหรอก แต่เธอไม่ยอมให้ทำอีก คงเพียงแค่แตะเฉย ๆ ในวันนั้น
หลังจากนั้น เธอก็ยังมาที่ชมรม ฯ แต่เธอบอกฉันว่า ต้นขาเธอเขียวช้ำไปหมด
เธอเปิดต้นขาให้ฉันดู น่ากลัวมาก นอกจากเขียวแล้วยังเป็นก้อนขนาดเกือบเท่ากำปั้นเด็ก
แต่ตอนนั้นเธอยังไม่รู้สึกอะไร หลังจากนั้นประมาณ ๑ เดือน เธอก็หายไป โทรศัพท์ไปไต่ถาม
ได้ความว่า เธอปวดขามาก ซึ่งเธอก็เคยเป็นแบบนี้ เราก็ไม่คิดอะไรมาก แต่แล้วเราก็ได้รับคำบอกเล่าว่า
เธอเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้น เธอก็ทรุดลงเรื่อย ๆ เราพากันไปเยี่ยมเธอ ดูกำลังใจเธอก็ยังดี
ตั้งอกตั้งใจรักษาตัว แต่แล้ว หลังจากไปอยู่โรงพยาบาลได้ ๕๑ วัน เราก็ได้รับข่าวที่น่าเศร้าว่า
เธอเสียชีวิตแล้วโดยสงบ เนื่องจากภูมิต้านทานเธอต่ำ ทำให้ปอดติดเชื้อ
จนบัดนี้ เราก็ยังคิดไม่ออกว่า เธอทรุดลงเนื่องจากอะไร จะเป็นเพราะการไปนวด
ที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดเสียไป เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องจากไปเร็วกว่าที่เราคิดหรือเปล่า
มันเป็นปัญหาที่ค้างคาใจเราอยู่ แต่ฉันก็พยายามคิดว่า เธอทำบุญมาแค่นี้เอง จะด้วยอะไร
เธอก็จะต้องไปในเวลานี้แน่นอน
นอกจากการรักษาโรคแล้ว พลังจักรวาลยังช่วยฉันอีกหลายเรื่อง
ขอยกตัวอย่างที่พลังจักรวาลทำให้ฉันรู้สึกว่า คุณประโยชน์ของพลังจักรวาลมีมากมาย
หากเรารู้จักนำมาฝึกใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
ปกติฉันจะลงมือทำอาหารในบางวัน อาหารที่ทำมักจะหนีไม่พ้น ยำ แกง หรือผัดต่าง ๆ
ซึ่งต้องใช้หอม กระเทียม เวลาปอกเปลือกหอมจะเป็นเวลาที่น่าเบื่อหน่าย เพราะน้ำมันหอมจะระเหยเข้าตา
ทำให้น้ำตาไหลพราก ครั้งหนึ่งฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เลยลอง ก่อนจะปอกเปลือกหอม
สำรวมจิตใช้จักระ ๖ ส่งไปที่หอม และสั่งว่า อย่าให้น้ำมันหอมระเหยมาเข้าตา ใช้เวลา ๓๐ วินาที
แล้วจึงลงมือจรดมีดลงไปผ่า ผลปรากฏว่า วันนั้น ฉันสามารถทำงานปอกหอมทั้งกอง
โดยไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว
แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเราตั้งจิตก่อนลงมือทำ ถ้าหากลืม
ลงมือทำแล้วจึงมาสั่ง ไม่เป็นผลสำเร็จ แม้กระทั่งอาหารที่แช่แข็งไว้ก็เหมือนกัน
มันก็คือน้ำแข็งเราดีดีนี่เอง ฉันจะต้องจับเพื่อจะหั่น จะซอย ทุกครั้งจะต้องหยุดเป็นระยะ
เพื่อให้มือหายชาจากความเย็น วันหนึ่งฉันนึกขึ้นได้ ก็ลองตั้งจิตก่อนจะจับ
ปรากฏว่า ฉันสามารถทำงานได้ตลอดเวลากว่า ๑๐ นาที โดยไม่ต้องพักมือเลย
การค้นพบสิ่งเหล่านี้ มันทำให้มีความสนุก และอยากจะทดลองเรื่อยไป
นอกจากนี้ ฉันยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้น วันหนึ่งตอนเช้า ฉันกำลังนั่งกินอาหารเช้า
บ้านฉันเต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ฉันได้ยินเสียงดังตุ้บที่ด้านนอก รีบออกไปดู
เห็นนกเค้าแมวตกอยู่ที่พื้น แน่นิ่ง ฉันอุ้มมันขึ้นมาดู ตัวมันไม่ใหญ่นัก
ฉันวางมันไว้ในอุ้งมือข้างหนึ่ง หัวใจมันหยุดเต้น ศีรษะห้อย ฉันสำรวจดูว่า
อะไรเป็นเหตุให้มันตกใจบินมาชนบ้าน ก็เห็นมดแดงตัวใหญ่กัดขามันแน่น
ฉันหยิบมดออก นึกได้ว่า อาจารย์ว่า พลังเรามีอยู่ที่มือ รีบเอามืออีกข้างลูบตั้งแต่
หัวลงไปจนถึงหาง ไม่ได้นับว่ากี่หน คือลูบแล้วลูบอีก สักครู่เดียว ฉันคิดว่า ไม่เกิน๑-๒ นาที
ฉันรู้สึกว่า หัวใจมันกลับเต้นขึ้นมาอีก จนฉันรู้สึก ฉันดีใจลูบใหญ่
พักเดียวมันก็ลืมตา หัวที่ห้อยอยู่ก็ยกขึ้น มองซ้ายมองขวา แล้วก็บินปร๋อไปจากมือฉันอย่างปลอดภัย
นกมันจะรู้สึกอย่างไรฉันไม่ทราบ มันอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรกับตัวของมัน
แต่ฉัน รู้สึกปีติยินดีที่ได้ช่วยชีวิตนกตัวเล็ก ๆไว้ได้ตัวหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะบันทึกไว้ให้เพื่อน ๆ ทราบ เพื่อว่า เวลาประสบเหตุการณ์ฉะเพาะหน้า
จะได้ตัดสินใจช่วยเหลือได้ทันที วันหนึ่ง ตอนเย็น เด็กปิดประตูบ้านเรียบร้อย
พวกเราพากันเดินเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านที่อากาศกำลังสบาย ก็ได้ยินเสียงดังโครมใหญ่
ทุกคนวิ่งไปดูที่หน้าบ้าน
ตรงกลางประตูเหล็กโปร่งหน้าบ้าน มีรถมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่
ตรงหน้าฉันมีชายหนุ่มคนหนึ่งล้มจากรถศีรษะฟาดถนน หน้าซีกหนึ่งกระแทกเต็มแรง
มีเลือดนองพื้น เขากำลังชัก มีเสียงคนร้องโวยวาย ฉันเพ่งมองที่ศีรษะชายคนนั้น
โดยใช้จักระ ๖ เพ่งตรงจุดสมองของเขานิ่งอยู่เป็นเวลากว่า ๑ นาที เขามีอาการสงบ หยุดชัก
ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยเขาได้หรือไม่ เพราะมันน่ากลัวมาก ฉันเพ่งต่อไปโดยไม่สนใจใคร
มีเสียงผู้หญิงร้อง และวิ่งเข้ามาจับตัวเขา เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง เหมือนนึกไม่ออกว่า
อะไรเป็นอะไร แต่ไม่พูด จนมีรถยนต์มานำเขาไปโรงพยาบาล
ต่อจากนั้นอีกไม่นาน ลูกชายเล่าให้ฉันฟังว่า เห็นผู้ชายคนนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าบ้านเราอีก
ตกลงว่า ฉันก็ได้ใช้วิชาพลังจักรวาลให้เป็นประโยชน์ โดยที่ไม่เคยคิดที่จะให้เจ้าตัว
เขารู้ว่าเราได้ช่วยรักษาเขาไว้ในเวลาหนึ่ง เขาไม่ตาย แค่นี้เราพอใจแล้ว
สรุปในตอนนี้ว่า ตั้งแต่ฉันได้พบวิชานี้มาเป็นเวลากว่า ๖ ปี ฉันมีความสุข
ฉันเรียนถึงแค่ระดับ ๕.๒ ความจริงฉันคิดว่า เข้าใจและพอใจตั้งแต่เรียนถึงระดับ ๔
แต่ในเมื่อ ฉันเข้ามาอยู่ตรงจุดนี้แล้ว หากฉันเรียนน้อยเกินไป ใคร ๆ ก็จะไม่เชื่อถือ
และด้วยความสามัคคี จึงต้องไปเรียนด้วยกัน มารู้สึกเป็นอิสระเมื่อท่านอาจารย์ประกาศว่า
จะเลือกตัวผู้เรียนระดับ ๖ เอง ฉันก็แน่ใจว่า ฉันจะไม่เรียนอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีอีกกี่ระดับก็ตาม
เมื่อได้ชี้แนะให้อาจารย์ได้ตัวผู้เรียนระดับ ๖ ครบแล้ว ฉันไม่ได้นิ่งดูดาย ในแต่ละวันที่พวกเราเรียนอยู่ที่กาญจนบุรี
ฉันจะโทรศัพท์ติดตามคำสอนทุกวัน ฉันสนใจคำสอน และติดตามตลอดเวลา
ฉันคิดว่า หลังจากที่อาจารย์เปิดจักระให้แล้ว จากนั้นก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ใครจะปฏิบัติอย่างไร ทำการบ้านมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ว่า พอเรียนได้ประกาศนียบัตรแล้ว
ก็เป็นอันว่า ทำทุกอย่างได้ตามคำบอกเล่าของอาจารย์ หามิได้ ถ้าใครเข้าใจอย่างนั้นก็น่าสงสารมาก
ประสบการณ์ที่ผ่านมา จะช่วยให้มีความเข้าใจในวิชานี้อย่างลึกซึ้ง และก็จะแยกตัวบุคคล
ออกจากวิชาโดยเด็ดขาด บุคคลอาจจะมีพฤติกรรมที่ทำให้คนเสื่อมถอยความศรัทธา
แต่วิชาไม่มีการเสื่อม ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามจิตสำนึกที่ดี ก็ย่อมจะได้รับผลดีทุกคน
สำหรับการรักษาโรค ไม่ใช่ว่า ทุกคนที่ได้ใช้พลังจักรวาลรักษาจะหายจากโรคได้
เพราะปัจจัยในการรักษาโรค หายหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพียงอย่างเดียว แต่มีอยู่หลายปัจจัย อย่างน้อยฉันมองเห็นอยู่ว่ามี ๔ ปัจจัย
๑. ผู้รักษา มีความพร้อม มีจิตสำนึกที่ดี บริสุทธิ์ ทำการบ้านมาดี
๒. ผู้ป่วย มีจิตศรัทธา อยากจะรักษา มาเป็นประจำ มีจิตสงบ
๓. วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง
๔. ปัจจัยสุดท้าย สำคัญมาก คือ กรรมของผู้ป่วย (ฉันหมายถึงทั้งกรรมเก่า
และพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง เช่น อารมณ์ ความเครียด อาหาร สิ่งแวดล้อม )
ถ้ามีท่านใดมีความเห็นแตกต่างไป ขอความกรุณาบอกกล่าว เพื่อส่วนรวม
เพราะฉะนั้น การที่โรคจะหายหรือไม่ อย่าลงโทษสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ฉันจึงต้องเฝ้าแต่คุยกับคนไข้ เพื่อให้เขาเข้าใจ อย่างน้อยตัวเขาจะได้ปฏิบัติต่อตัวเองได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าฉันอวดดีอวดเก่ง ฉันเพียงแต่อยากจะบอกถึงสิ่งที่ฉันพบและเข้าใจ
แต่อาจจะไม่ถูกเสมอไป หากใครมีความคิด หรือมองเห็นอะไรที่แตกต่างจากนี้ ก็ขอความกรุณาบอกเล่า
เพื่อเราจะได้พัฒนางานของเราให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พวกเราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อในกฎธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์
เมื่อได้มีการเกิด ก็ต้องมีการแก่ เจ็บ และในที่สุดก็ต้องตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดของสิ่งมีชีวิต
เพราะฉะนั้น ถึงแม้เราจะได้พบกับวิชารักษาโรคที่นับว่า เป็นวิชาที่แสนจะวิเศษก็ตาม
แต่แม้ตัวเราที่มีวิชานี้อยู่กับตัว ก็ต้องแก่ ต้องป่วย และก็ต้องตายอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ต้องสงสัย
เราจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเหมือนกัน
เรื่องนี้ ไม่มีการจบ ฉันจะเก็บความรู้จากเพื่อน ๆ มาเขียนอีกในโอกาสต่อไป
ลาวัณย์ จรรย์สืบศรี
๑๐ มีนาคม ๒๕๔๔
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!